Previous slide
Next slide
Categories
ARTICLE รุ่นรถ แบรนด์รถ

Mercedes-AMG G 63 รถเบนซ์ ในตระกูล AMG ที่ทั้งแรง เท่ และมีเอกลักษณ์สุด ๆ

รถเบนซ์ นับว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์รถยุโรป อีกหนึ่งแบรนด์ที่คนไทยหลาย ๆ คนต่างชื่นชอบ และได้รับความนิยมค่อนข้างสูง โดย Mercedes-Benzes นอกจากจะมีประวัติมาอย่างยาวนานแล้ว ยังมีการผลิตรถยนต์ออกมาหลายรุ่น และหลายประเภทด้วยกัน ตั่งแต่รถแข่ง, ไฮเปอร์คาร์, รถสปอร์ต, รถเก๋ง, คูเป้, รถเปิดประทุน รวมไปถึง รถSUV ซึ่ง Mercedes-AMG G 63 ก็นับว่าเป็นหนึ่งในรถ SUV ที่ทาง Mercedes-Benzes ได้ทำการเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งสเปคของรถรุ่นนี้จะน่าสนใจขนาดไหนเราไปดูพร้อมกันเลย

เผยสเปคของ Mercedes-AMG G 63 รถเบนซ์ SUVs 585 แรงม้า

มาถึงในส่วนของข้อมูลเกี่ยวกับสเปคของ รถเบนซ์Mercedes-AMG G 63 กันแล้ว แต่ก่อนที่เราจะได้ดูข้อมูลเหล่านั้น เรามาทำความรู้จักกับ รถเบนซ์ AMG กันก่อนว่ารถที่อยู่ในตระกูลนี้นั้นแตกต่างจาก Benz ทั่วไปอย่างไร โดย รถเบนซ์ AMG คือ รถที่มีสเปคของเครื่องยนต์แรงกว่ารุ่นทั่วไปด้วยเทคโนโลยีความเร็วจากสนามแข่ง และยังมีอยู่ในรถแทบทุกประเภทของ Benz อีกด้วย

สเปคของMercedes-AMG G 63

  • เครื่องยนต์

เครื่องยนต์ถูกออกแบบโดย AMG (ตามชื่อรุ่น) V8 BITURBO ขนาด 4.0 ลิตร (3,982 ซีซี) ที่ให้กำลังสูงสูดอยู่ที่ 585 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 4.5 วินาทีเท่านั้น และความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง

  • สื่อความบันเทิง

พื้นที่สำหรับคนขับและผู้โดยสารถูกออกแบบมาให้กว้าง และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยบนิเวณคอลโซลด้านหน้ามาพร้อมกับหน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว นอกจากนี้หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ยังเป็นแบบ Digital Widescreen Cockpit ขนาด 12.3 นิ้วที่สามารถควบคุมผ่าน Touchpad ระบบเสียงรอบทิศทาง ที่สำคัญยังมีระบบปรับโหมดการขับขี่แบบ AMG DYNAMIC SELECT อีกด้วย

  • การตกแต่งภายใน

เบาะทั้งหมดใช้วัสดุเป็นหนังนัปป้า ที่มีสีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ black, saddle brown/black, truffle brown/black และ macchiato beige/black นอกจากนี้ในส่วนของการตกแต่งภายในยังสามารถเลือกได้อีกว่าต้องการตกแต่งด้วยลวดลายใด โดยมีทั้งหมด 5 แบบด้วยกัน ได้แก่ 

  • black piano lacquer
  • black flamed open-pore natural walnut wood trim
  • brown high-gloss ash wood trim 
  • high-gloss light brown sen wood trim 
  • metal weave trim 

อยากเป็นเจ้าของMercedes-AMG G 63 ต้องมีเงินเท่าไร?

สำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของ รถเบนซ์ รุ่นนี้ ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า เมื่อตัวเครื่องเป็นเทคโนโลยีของ AMG ดังนั้นราคาจึงค่อนข้างที่จะสูงโดย Mercedes-AMG G 63 ราคา เริ่มต้นที่ 16,300,000 บาท (ราคาแนะนำ) แต่สำหรับใครที่เลือกเป็นพิเศษ หรืออัปเกรดส่วนอื่น ๆ เพิ่มเติมก็จะทำให้รถมีราคาที่สูงขึ้นกว่านี้ ซึ่งหากใครที่สนใจ G63 AMG รุ่นนี้ก็สามารถเข้าไปดูข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ที่ www.mercedes-benz.co.th ได้เลย

AUDI E-TRON GT รถไฟฟ้า AUDI ที่สเปคเทพติดอันดับท๊อป

สนับสนุนโดย gclub เว็บบาคาร่าที่น่าเชื่อถือที่สุดในตอนนี้ https://gclubspecial168.com/

Categories
All CAR ARTICLE รุ่นรถ แบรนด์รถ

Volvo C40 Recharge Pure Electric รถยนต์ไฟฟ้า รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Volvo

Volvo C40 Recharge Pure Electric

(https://www.volvocars.com/en-th/build/c40-electric

สำหรับใครที่กำลังรอรีวิว รถยนต์ไฟฟ้า จาก Volvo วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้นมาให้ทุกคนแล้วเรียบร้อบ หลังจากที่ Volvo ได้ทำการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อย่าง C40 Recharge Pure Electric เมื่อต้นปี 2022 ที่ผ่านมา โดยสเปคของรถยนต์รุ่นนี้จะเป็นอย่างไรเราไปดูกันเลย

Volvo C40 Recharge Pure Electric

(https://www.ridebuster.com/volvo-c40-recharge-pure-electric-debut/

สเปคของ รถยนต์ไฟฟ้า C40 Recharge Pure Electric 

C40 Recharge Pure Electric เป็น รถยนต์ไฟฟ้า รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Volvo โดยวอลโว่นั้นได้มีการเปิดตัว รถยนต์ไฟฟ้า 100% ออกมาด้วยกันหลายต่อหลายรุ่น ซึ่งรุ่นนี้นับว่าเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด โดยสเปคต่าง ๆ ของรถยนต์รุ่นนี้มีดังนี้

เครื่องยนต์

  • มอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้พละกำลัง 408 แรงม้า
  • เร่งจาก 0 – 100 กม. / ชม. ในเวลา 4.7 วินาที
  • ความเร็วสูงสุด 180 กม. / ชม. 
  • การชาร์จ 1 ครั้ง (มาตรฐาน WLTP) สามารถวิ่งได้ไกล 420 กิโลเมตร
Volvo C40 Recharge Pure Electric

(https://www.volvocars.com/th-th/cars/c40-electric/interior-design/

ภายใน

  • ห้องโดยสารกว้างขวาง 5 ที่นั่ง
  • จุสัมภาระได่สูงถึง 413 ลิตร
  • ปราศจากวัสดุจากหนัง 100%
  • ตกแต่งภายให้แสงไฟมีความเป็นธรรมชาติ
  • พรมสี Fjord Blue เป็นทางเลือก (วัสดุรีไซเคิลบางส่วน)
  • ซันรูฟเป็นกระจกเคลือบลามิเนตที่สามารถป้องกันให้การปกป้องจากแสงสะท้อนและรังสี UV
Volvo C40 Recharge Pure Electric

(https://www.volvocars.com/th-th/cars/c40-electric/

เทคโนโลยีและความบันเทิง

  • สตาร์ทง่าย ๆ ด้วยแป้นเหยียบเพียงแป้นเดียว
  • ติดตั้ง Google ในตัว
  • ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพ ที่สามารกรอง PM 2.5 ได้มากถึง 80%
  • ลำโพงระดับพรีเมียมจาก Harman Kardon
  • กล้อง 360°
  • ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีการจราจรตัดผ่านด้านท้ายรถ Cross Traffic Alert
  • Volvo Cars App

นอกจากนี้แล้วยังมีสีให้เลือกมากถึง 8 สี ได้แก่ Onyx Black, Fusion Red, Thunder Grey, Fjord Blue, Silver Dawn, Crystal White และ Sage Green ซึ่งแต่ละสีจะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

Volvo C40 Recharge Pure Electric

(https://www.volvocars.com/th-th/cars/c40-electric/

รถยนต์ไฟฟ้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และมาพร้อมกับราคาล้านต้น ๆ 

Volvo C40 Recharge Pure Electric นอกจากจะเป็น รถยนต์ไฟฟ้า ที่มีสเปคที่น่าสนใจ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของโลกยุคปัจจุบันแล้ว ราคาของรถยนต์รุ่นนี้ก็เรียกได้ว่าน่าสนใจไม่แพ้สเปคเลยทีดียว โดยราคาของวอลโว่รุ่นนี้เริ่มต้นอยู่ที่เพียง 2,690,000 บาทเท่านั้น (ราคาศูนย์ไทย) ซึ่งลูกค้าที่สั่งจอง รถยนต์ไฟฟ้า 2022 รุ่นนี้จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มากมายทั้ง ฟรีบริการประกันคุณภาพ บำรุงรักษา และช่วยเหลือ, ฟรีประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 และ ฟรีเครื่องชาร์จแบตเตอรี่แรงดันสูงแบบติดผนัง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการตกแต่งภายในของ รถยนต์ไฟฟ้า Volvo รุ่นนี้จะไม่มีการนำหนังมาตกแต่ง แต่ทางวอลโว่ก็สามารถทำออกมาได้ดี เรียบหรู ตามแบบฉบับของวอลโล่ ตอบโจทย์สายวีแกน และสายรักษ์โลกสุด ที่สำคัญเรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคตสุด ๆ 

AUDI E-TRON GT รถไฟฟ้า AUDI ที่สเปคเทพติดอันดับท๊อป

เว็บ ตรง ไม่ ผ่าน เอเย่นต์

Categories
ARTICLE รุ่นรถ

Ford Mustang เปิดตัวรถยนต์ที่มาในแนวคิด รถยนต์ไฟฟ้า แต่ยังคงไว้ซึ่งความคลาสสิก

เปิดราคา Ford Mustang 1967 ที่แปลงหัวใจเป็นไฟฟ้าถ้ามี 15 ล้านบาทก็

(https://techxcite.com/web/topic/41114)  

สายรักรถคลาสสิกไม่ควรพลาด หลังจากที่ Ford Mustang ได้ทำการเปิดตัวรถยนต์คันใหม่ ซึ่งทันทีที่มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาก็สามารถสร้างเสียงฮือฮาให้กับเหล่าแฟน ๆ และคนที่ชื่นชอบรถยนต์คลาสสิกเป็นอย่างมาก เนื่องจาก Charge Cars ได้ปลุกชีพรถยนต์ Ford Mustang 1967 ที่เรียกว่าเป็นระดับตำนาน ให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง ในฉบับของ รถยนต์ไฟฟ้า ที่ยังคงไว้ซึ่งดีไซน์คลาสสิก ตามฉบับของ Muscle Car 

Charge Reveals The 1967 Ford Mustang Electric It Wants To Build

(https://insideevs.com/news/572636/charge-ford-mustang-electric-conversion-restomod/

มาทำความรู้จัก Ford Mustang Fastback ปี 1967 รถยนต์ไฟฟ้า ราคา 15 กว่าล้านบาท

อย่างที่เราได้เกริ่นไปในข้างต้นว่า Ford Mustang ได้ทำการเปิดตัว รถยนต์ไฟฟ้า ใหม่ล่าสุด ที่คงไว้ซึ่งความคลาสสิกอย่าง Ford Mustang Fastback ปี 1967 หรือ Ford Mustang 1967 ซึ่ง นับว่าเป็น รถสปอร์ต Muscle Car 60s ที่ได้รับความนิยมสูง โดย Charge Cars ได้ทำการพลิกโฉมครั้งใหญ่ ในเรื่องของระบบขับเคลื่อน จากการใช้เครื่องยนต์ เปลี่ยนให้มาอยู่ในระบบไฟฟ้า 100% ที่ใช้มอเตอร์เป็นตัวขับเคลื่อนแทน 

โดยมอเตอร์นั้นสามารถผลิตพลังในการขับเคลื่อนได้สูงถึง 544 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0 – 100 ในเวลาต่ำกว่า 4 วินาที และสามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดประมาณ 322 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมที่ทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็มได้ภายในเวลาเพียงชั่วโมงกว่า ๆ อีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็น รถไฟฟ้า ที่มีแรงม้าสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว นอกจากนี้ Ford Mustang 1967 รุ่นนี้จะผลิตเพียง 499 คันเท่านั้น ซึ่งจะมีราคาอยู่ที่คันละประมาณ 450,000$ หรือราว ๆ 15,116,850 บาท (ค่าเงินวันที่ 28 มีนาคม 2022) 

Graphical user interface, website

Description automatically generated

(https://charge.cars/

สาเหตุที่ทำให้ Ford Mustang 60s มีราคาสูง

ในปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้า นั้นเริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และแต่ละรุ่น แต่ละแบรนด์ ก็จะมีเกณฑ์ของราคาที่แตกต่างกันออกไป รวมถึง Ford Mustang รุ่นที่เรานำมาพูดถึงกันในวันนี้ด้วย เมื่อทุกคนได้เห็น ราคา Ford Mustang 60s EV รุ่นนี้ไปแล้วก็อาจจะมีเกิดความสงสัยว่า ทำไม่รถรุ่นนี้จึงมีราคาสูงถึงหลัก 15 ล้านบาท ซึ่งก่อนอื่นเราต้องขอบอกว่า Ford Mustang มีการจำกัดปริมาณในการผลิตเพียง 499 คันทั่วโลกเท่านั้น นั่นจึงหมายความว่าอุปสงค์ต้องสูงกว่าอุปทานอย่างแน่นอน ที่สำคัญคือในขบวนการการผลิต รถยนต์แต่ละคันจะต้องผลิตด้วยมือ ซึ่งนั่นหมายถึงรถทุกคันจะถูกผลิตด้วยความใส่ใจจากทีมช่างในทุก ๆ ขั้นตอน และความละเอียดและความประณีตของขั้นตอนต่าง ๆ จึงทำให้ Ford Mustang เป็นรถรุ่น Limited Edition และ made to order นั่นเอง และในปัจจุบันมีการเปิดจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหากใครที่อยากศึกษาหรือจองรถยนต์ไฟฟ้าสุดเท่คันนี้ก็สามารถเข้าไปที่ https://charge.cars/ ได้เลย 

เว็บตรง

Categories
รุ่นรถ

รู้จักกับ Dallara F312

รู้จักกับ Dallara F312

     Dallara F312 เป็นรถแข่งแบบเปิดล้อที่พัฒนาโดย Dallara ผู้ผลิตชาวอิตาลีเพื่อใช้ในประเภท Formula Three ทั้งหมด รถคันนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นหนึ่งในแชสซีฟอร์มูล่า 3 ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาโดยมีการผลิตแบบดั้งเดิมมากกว่า 53 แบบ แม้ว่าจะมีการเปิดตัวผู้สืบทอด แต่ Dallara F317 ก็ถูกนำมาใช้ แต่ F312 ก็ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลายในการแข่งขันชิงแชมป์เช่น Euroformula Open Championship และ Japanese Formula 3 Championship

 

ประวัติการพัฒนา

     Dallara F312 ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับ FIA Formula 3 ใหม่สำหรับปี 2012 ซึ่งมีข้อ จำกัด มากกว่าเมื่อเทียบกับกฎข้อบังคับของ Formula 3 ก่อนหน้านี้และนำไปสู่การลดระดับ Downforce เมื่อเทียบกับ Dallara F308 รุ่นก่อนหน้า 312 มีโครงสร้างแบบโมโนโคคที่สูงขึ้นและส่วนจมูกที่ต่ำกว่ารุ่นที่วางจำหน่ายโดยมีแดมเปอร์ด้านหน้าและสปริงอยู่ในอ่างซึ่งเป็นครั้งแรกสำหรับรถยนต์ Dallara F3 ควบคู่ไปกับแพ็คเกจอากาศพลศาสตร์ที่ปรับปรุงใหม่ .รถคันนี้เปิดตัวในงาน Masters of Formula 3 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2011 ที่ Circuit Zandvoort ประเทศเนเธอร์แลนด์ 

 

     Formula 3 เป็นซีรีส์การแข่งรถที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ด้วยการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรปอเมริกาเอเชียและออสเตรเลียจำนวนมากถือได้ว่าเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดสำหรับนักแข่งรถมืออาชีพ

ความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญตามกฎข้อบังคับ FIA Formula 3

ระดับประสิทธิภาพที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่ที่ดีที่สุดเปล่งประกาย

สร้างคุณภาพสูง

การผสมผสานที่ประสบความสำเร็จในการออกแบบที่สร้างสรรค์และอากาศพลศาสตร์ที่ดีที่สุด

การเพิ่มประสิทธิภาพของต้นทุนการดำเนินงาน

 

     Dallara F312 ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับ FIA Formula 3 ใหม่สำหรับปี 2012 ซึ่งมีข้อ จำกัด มากกว่าเมื่อเทียบกับกฎข้อบังคับของ Formula 3 รุ่นก่อนหน้าและนำไปสู่การลดระดับ Downforce เมื่อเทียบกับ Dallara F308 รุ่นก่อนหน้า 312 มีโครงสร้างแบบโมโนโคคที่สูงขึ้นและส่วนจมูกที่ต่ำกว่ารุ่นที่วางจำหน่ายโดยมีแดมเปอร์และสปริงด้านหน้าอยู่ในอ่างซึ่งเป็นครั้งแรกสำหรับรถยนต์ Dallara F3 ควบคู่ไปกับแพ็คเกจ Aerodynamic ที่ปรับปรุงใหม่ รถคันนี้เปิดตัวในงาน Masters of Formula 3 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2011 ที่ Circuit Zandvoort ประเทศเนเธอร์แลนด์

 

     os Claes จากทีมวิศวกรรมและบริหารโครงการของ Dallara กล่าวว่าแชสซีใหม่ซึ่งเปิดตัวในงาน F3 Masters ที่ Zandvoort มีโครงสร้างแบบโมโนโคคที่สูงขึ้นและส่วนของจมูกที่ต่ำกว่ารุ่นที่วางจำหน่ายโดยมีแดมเปอร์และสปริงด้านหน้าอยู่ภายใน อ่างเป็นครั้งแรก Claes ยังกล่าวอีกว่ากฎข้อบังคับใหม่ของ FIA มีผลกระทบอย่างมากต่อระดับ Downforce ทำให้ผู้ท้าชิงปี 2012 เป็นรถที่แตกต่างจากรุ่นก่อนอย่างมาก

 

“ มันเป็นรถที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง” Claes กล่าวกับ AUTOSPORT “จมูกแตกต่างกันมากมันเป็นโมโนโคคที่สูงกว่ามากและในที่สุดเราก็เลิกใส่แดมเปอร์และสปริงที่ด้านบนของโมโนโคคแล้วใส่เข้าไปข้างใน

 

“มีช่องปรับเสียงจำนวนมากที่คุณไม่สามารถใช้ตัวถังได้อีกต่อไปพื้นที่หัวเรือของรถปัจจุบันได้รับผลกระทบดังนั้นผลลัพธ์ที่ได้คือรถที่มีรูปร่างสะอาดตา

 

“เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยซึ่งขึ้นไปถึงระดับ F1 แล้วและเราได้ดำเนินการเกี่ยวกับการติดตั้งต่างๆมากมายที่ส่วนท้าย

 

“ การปรับตัวให้เข้ากับกฎระเบียบใหม่ทำให้เราสูญเสียดาวน์ฟอร์ซจำนวนมากเช่น 16% ดังนั้นเราจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อกู้คืนให้ได้มากที่สุด”

Categories
รุ่นรถ

รู้จักกับ Dallara F317

รู้จักกับ Dallara F317

     Dallara F317 เป็นรถแข่งแบบเปิดล้อที่พัฒนาโดย Dallara ผู้ผลิตชาวอิตาลีเพื่อใช้ในประเภท Formula Three ทั้งหมด F317 เป็นรถคันที่สามสิบเจ็ดที่ใช้ในการแข่งขัน Formula Three ตามทำนองคลองธรรมของ FIA แม้ว่า F317 จะเป็นเพียงแชสซี F312 ที่ได้รับการอัพเกรดด้วยอากาศ แต่มันก็ทำงานแทนแชสซี Dallara F312 ที่มีอายุมาก อย่างไรก็ตามบางซีรีส์เช่น Euroformula Open Championship เลือกใช้แชสซี F312 ที่อัปเกรดเล็กน้อยแทนที่จะเป็นแพ็คเกจ F317 เพื่อให้ต้นทุนต่ำ

 

     เนื่องจากการแข่งขัน Formula 3 Championship เป็นชุดข้อมูลจำเพาะ F3 2019 จึงแข่งขันโดยทุกทีมและนักแข่งทุกคนที่แข่งขันในซีรีส์นี้ โดยผู้เขียน Arjanren  วันที่สร้าง 5 ม.ค. 2019 Tags 2017 Dallara f3 f3 ยูโร f317 ไฮเทค gp rsr rsr dallara f317 บทวิจารณ์ภาพรวมและการอภิปรายประวัติศาสตร์

 

     Dallara ได้เปิดเผยรถยนต์ที่นั่งเดี่ยวรุ่นจูเนียร์รุ่นใหม่ซึ่งมีชื่อว่า 320 โดยคำนึงถึงการแข่งขัน Euroformula Open และ Japanese Formula 3 ปัจจุบันการแข่งขันทั้งสองรายการใช้แชสซี F317 ของ Dallara ซึ่งปรากฏในการแข่งขัน FIA European F3 Championship 2012-18 และรถ 320 ใหม่จะยังคงปีกหน้าเครื่องยนต์กระปุกเกียร์และโครงร่างอิเล็กทรอนิกส์

 

     ทีมจากทั้งสองรายการลงทะเบียนให้ความสนใจกับ Dallara เมื่อปีที่แล้วเกี่ยวกับรถใหม่โดย FIA International homologation ของ F317 จะสิ้นสุดลงหลังจบฤดูกาลนี้ ความปรารถนาของซีรีส์นี้คือรถที่ติดอยู่กับน้ำหนักขั้นต่ำ 580 กก. พร้อมคนขับในขณะเดียวกันก็รวมอุปกรณ์ป้องกันห้องนักบินด้วยรัศมี

 

     “เป้าหมายของเราคือการสร้างรถที่มีรัศมีที่มีน้ำหนักใกล้เคียงกับรถปัจจุบันมากที่สุดและเราจัดการได้” Jos Claes ผู้จัดการโครงการ Dallara กล่าวกับ Autosport

 

“ ด้วยเครื่องยนต์เดียวกันและน้ำหนักเท่ากันเราสามารถคาดหวังว่ารถจะเร็วขึ้นเล็กน้อย

 

     น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจาก monocoque ใหม่เอี่ยมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรวมรัศมีถูกทำให้ว่างเปล่าโดย Dallara ออกแบบรถตามมาตรฐานความปลอดภัยของ Formula 1 2018 แทนที่จะเป็น F3 สิ่งนี้ทำให้สามารถสร้างตัวถังใหม่ทั้งหมดจากคาร์บอนไฟเบอร์ถอดบล็อกกันลื่นที่ด้านล่างของรถและใช้เทคนิคการสร้างที่แตกต่างกัน

 

     ด้วยเหตุนี้แม้ว่าจะเป็นวิวัฒนาการทางเทคนิคของ F317 และได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึง F3 แบบ ดั้งเดิมแต่รถรุ่นใหม่นี้ไม่สอดคล้องกับกฎข้อบังคับของ F3 ในขณะที่ EF Open ได้มุ่งมั่นที่จะใช้รถ Dallara 320 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการทดสอบในสนามแข่งก่อนเดือนกันยายน แต่ผู้จัดงาน F3 Championship ของญี่ปุ่นยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะใช้เครื่องจักรใดตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป Dallara นำเสนอรถคันใหม่ให้กับทีมใน F3 paddock ของญี่ปุ่นที่ Okayama ในวันเดียวกับการเปิดตัว EF Open ที่ Spa-Francorchamps

 

“มีทางเลือกในการเปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่และท่อไอเสียที่เบากว่าและรถยนต์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีบัลลาสต์จำนวนมาก”

Categories
รุ่นรถ

รู้จักกับ Deltawing

รู้จักกับ Deltawing

     Deltawing เป็นรถแข่งที่ออกแบบโดยนักออกแบบและวิศวกรรถแข่งชาวอเมริกัน Ben Bowlby และเปิดตัวที่ 24 Hours of Le Mans ในปี 2555 รายการนี้ดำเนินการภายใต้ชื่อ Project 56 ประกอบด้วย Ben Bowlby (ผู้ออกแบบ), All American Racers (ผู้สร้าง) ของ Dan Gurney, Highcroft Racing ของ Duncan Dayton (ทีมแข่งรถ) และ Don Panoz เจ้าของสมาคมกีฬามอเตอร์ระหว่างประเทศ (หุ้นส่วนผู้จัดการ) แผนก NISMO ของ Nissan จัดเตรียมเครื่องยนต์เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการตั้งชื่อในส่วนของปี 2555 Deltawing สร้างและบำรุงรักษาที่สำนักงานใหญ่ของ Panoz ใน Braselton จอร์เจียสหรัฐอเมริกา

 

     โครงการนี้เริ่มขึ้นในเดือนมกราคม พ.ศ. 2552 เมื่อ Bowlby สร้างการออกแบบซีรีส์ IndyCar ใหม่ที่มีศักยภาพสำหรับฤดูกาล 2012 ด้วยการสนับสนุนทางการเงินจาก Chip Ganassi เจ้าของ Chip Ganassi Racing รถต้นแบบได้รับการเปิดเผยในเดือนกุมภาพันธ์ 2010 ที่งาน Chicago Auto Show Ganassi และทีมพันธมิตรเป็นเจ้าของรถและสิทธิบัตรของมัน  ในเดือนกรกฎาคม 2010 IndyCar เลือกดีไซน์แบบ Dallara แทน

 

     จากนั้น Bowlby ทำงานร่วมกับ Don Panoz เพื่อเสนอแนวคิดต่อตัวแทนจาก Automobile Club de l’Ouest ซึ่งเป็นผู้จัดงาน 24 Hours of Le Mans พวกเขาสมัครและได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมการแข่งขัน Le Mans 2012 ในฐานะผู้เข้าแข่งขัน “Garage 56″ ซึ่งเป็นหมวดหมู่ที่สงวนไว้สำหรับรถทดลอง  แม้จะมีความสงสัยเกี่ยวกับโครงการนี้ แต่ Deltawing ก็ได้เปิดตัวบนแทร็กเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2555 โดยเสร็จสิ้นการกวาดล้างที่ Buttonwillow Raceway Park 

 

     Deltawing มีแผนที่จะแข่งขันที่ Petit Le Mans 2012 Panoz ระบุว่าเขาหวังว่ารถคันนี้จะได้รับอนุญาตภายใต้กฎข้อบังคับ LMP1 และ LMP2 ของ American Le Mans Series ในปี 2013 หรือจะแทนที่ Oreca FLM09 เป็นรถที่มีคุณสมบัติเฉพาะของ LMP Challenge 

 

     เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2013 Marshall Pruett จาก SpeedTV.com เปิดเผยว่า Don Panoz จะเข้าร่วม Deltawing ในกิจกรรม Road Course ในรายการ American Le Mans Series สำหรับฤดูกาล 2013 Panoz จะพัฒนารถโดยไม่มีพันธมิตรดั้งเดิมของ DeltaWing Nissan, All American Racers, Michelin แทนที่รถจะถูกตั้งค่าเป็นข้อบังคับ P2 Panoz จะทำให้รุ่นปี 2013 เป็นข้อกำหนดเฉพาะของ P1 และเปิดใช้งานรถเพื่อแข่งขันเพื่อให้ได้คะแนนเป็นรายการ P1 ที่จัดประเภทไว้อย่างสมบูรณ์ รุ่น Sebring จะยังคงเป็นรุ่นเปิดบน แต่รุ่นที่ใหม่กว่าจะปิดด้านบน โรงไฟฟ้าจะเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้ Mazda MZR 2.0L ที่ผลิตโดยÉlan Motorsport Technologies ซึ่งปัจจุบันผลิตได้ 345 แรงม้าใน dyno และเบากว่าเครื่องยนต์ Nissan ที่สร้างโดย RML ในปี 2012 การทำซ้ำในอนาคตมีข่าวลือว่าจะรวมถึงเครื่องยนต์คาร์บอนไฟเบอร์ด้วย บล็อก.

 

     มีการฟ้องร้องเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2556 โดยกลุ่ม บริษัท Deltawing (Don Panoz, Chip Ganassi) ต่ออดีตนักออกแบบของ DeltaWing, Ben Bowlby และอดีตผู้จัดหาเครื่องยนต์ Nissan ในข้อหา“ ความเสียหายและการบรรเทาความคุ้มครองที่เกิดจากการขโมยข้อมูลที่เป็นความลับและเป็นกรรมสิทธิ์ , การยักยอกความลับทางการค้า, การผิดสัญญา, การเพิ่มคุณค่าที่ไม่เป็นธรรม, การฉ้อโกง, และการบิดเบือนความจริงโดยประมาท  คดีถูกตัดสินจากศาลเนื่องจากมีเงื่อนไขเป็นความลับในเดือนมีนาคม 2559

Categories
รุ่นรถ

รู้จักกับ Honda civic Type R

รู้จักกับ Honda civic Type R

     Honda civic Type R เป็นรุ่นสมรรถนะสูงของรถคอมแพ็คซีวิคที่ผลิตโดยฮอนด้า มันมีตัวถังที่เบาและแข็งขึ้นเครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษมีให้เฉพาะในเกียร์ธรรมดาห้าหรือหกสปีดและเบรกและแชสซีที่ได้รับการอัพเกรด สีแดงถูกนำมาใช้ในพื้นหลังตราสัญลักษณ์ Honda เพื่อให้มีความโดดเด่นด้านกีฬาเป็นพิเศษและแยกออกจากรุ่นอื่น ๆ

     Honda civic รุ่นแรกที่ได้รับป้ายชื่อ ‘Type R’ นั้นมีพื้นฐานมาจาก Civic รุ่นที่ 6 ของฐานพัดลม ‘EK’ โมเดลพื้นฐานที่มีส่วนร่วมคือ JDM Civic แฮทช์แบ็ก 3 ประตูที่เรียกว่า SiR (รหัสชื่อ EK4) เช่นเดียวกับพี่น้อง Integra Type R DC2 / JDM DB8 การเปลี่ยนแปลงของ Civic SiR เป็น Type R ทำได้โดยการทำงานในรูปแบบพื้นฐานและปรับปรุงให้เป็นแนวคิดของ Honda ในเรื่องรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงในวงจร

     Honda civic รุ่นแรกที่ได้รับตรา Type R ได้รับการเปิดตัวในเดือนสิงหาคม 1997 ในชื่อ EK9 EK9 ใช้คุณสมบัติหลายอย่างร่วมกับ Integra Type R DC2 / JDM DB8 เช่นการละเว้นการหยุดเสียงและมาตรการลดน้ำหนักอื่น ๆ เครื่องยนต์ B16B แบบแฮนด์พอร์ตดิฟเฟอเรนเชียลลิมิเต็ดสลิปหน้าและการส่งผ่านอัตราส่วนปิด เครื่องยนต์ B16B มีกำลังสูงสุดต่อลิตรตลอดกาลสำหรับเครื่องยนต์ที่มีแรงดูดตามธรรมชาติ 185 แรงม้า (136 กิโลวัตต์ 182 แรงม้า) ที่ 8,200 รอบต่อนาทีและ 160 นิวตันเมตร (118 ปอนด์ฟุต) ที่แรงบิด 7,500 รอบต่อนาทีจาก 1.6 ลิตร (1,595 ซีซี) ของการกระจัด เป็นครั้งแรกที่มีการใช้แชสซีโมโนโคคแบบเชื่อมตะเข็บเชิงกลยุทธ์เพื่อปรับปรุงความแข็งแกร่งของแชสซี ภายในมีเบาะนั่งแบบถัง RECARO สีแดงการ์ดประตูสีแดงพรมปูพื้น Type R สีแดงแป้นเปลี่ยนเกียร์ไททาเนียมและพวงมาลัยหุ้มหนัง Momo EK9 วางจำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น 

     ตัวเลขประสิทธิภาพ ได้แก่ เวลาเร่ง 0–97 กม. / ชม. (0–60 ไมล์ต่อชั่วโมง) 6.7 วินาทีและเวลา 15.3 วินาทีหนึ่งในสี่ไมล์ EK9 สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 225 กม. / ชม. (140 ไมล์ต่อชั่วโมง) 

รู้จักกับ Honda civic Type R

การตกแต่งภายใน Honda civic

     ในปี 1998 มีการเปิดตัวรุ่น Civic Type R Motor Sports มันมาพร้อมกับล้อเหล็กการตกแต่งภายใน EK สีเทามาตรฐานหน้าต่างแบบแมนนวลไม่มี a / c และไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ

     Honda civic รุ่น Type Rx ที่เปิดตัวในปี 2542 ได้รับเครื่องเล่นซีดีกระจกมองข้างไฟฟ้าแบบพับเก็บได้สีตัวถังกระจกไฟฟ้าระบบปรับอากาศอัตโนมัติระบบปลดล็อกแบบไม่ใช้กุญแจแป้นเหยียบอะลูมิเนียมแบบสปอร์ตและแผงกลางแบบคาร์บอน Type Rx เป็นรุ่นสุดท้ายของรุ่น EK9 การผลิต EK9 Civic Type R มีจำนวนทั้งสิ้น 16,000 คัน  ในปี 1999 บริษัท ปรับแต่ง Spoon Sports ของ Honda ได้ออกแบบรถแข่งรุ่น N1 ของ Type R ที่มีเส้นแดงของเครื่องยนต์ B16B เพิ่มขึ้นจาก 8,400 รอบต่อนาทีเป็น 11,000 รอบต่อนาที

Categories
รุ่นรถ

รู้จักกับ Dodge Charger Fast & Furious Edition

รู้จักกับ Dodge Charger Fast & Furious Edition

     1968 Dodge Charger Fast & Furious Edition (ย่อว่า Ice Charger FF) เป็นรถคัสตอมที่นำเสนอใน The Fate of the Furious Car Pack สำหรับ Forza Motorsport 7

     Dodge Charger R / T ปี 1970 ถูกเก็บไว้ในโรงรถของ Toretto House สร้างขึ้นโดย Dominic และพ่อของเขาในวัยเยาว์ เมื่อพ่อของเขาถูกเคนนีลินเดอร์อุบัติเหตุจากการแข่งขันหุ้นเสียชีวิตโดมินิกปฏิเสธที่จะขับเครื่องชาร์จเพราะเขากลัวมัน

     เมื่อ Brian O’Conner กลายเป็นลูกเรือและเริ่มออกเดทกับ Mia Toretto น้องสาวของ Dominic โดมินิกพาเขาไปที่โรงรถและแสดงให้เขาเห็นเครื่องชาร์จ รถคันนี้มีชื่อเสียงในด้านพละกำลังอันน่าทึ่งที่ 900 แรงม้าและทำสถิติเวลา 1/4 ไมล์ในเวลาเพียงเก้าวินาทีโดยพ่อของ Dom ที่สนามแข่งรถ Los Angeles County Raceway

     เมื่อจอห์นนี่ทรานและแลนซ์เหงียนขับรถตามและฆ่าเจสซีการไล่ตามเริ่มจากไบรอันและดอมไล่ตามเขาไบรอันขับรถโตโยต้าซูปราและดอมขับรถคันเดียวที่เหลือนั่นคือแท่นชาร์จ ดอมใช้มันเพื่อผลักแลนซ์ออกจากจักรยานและลงเขา เมื่อจอห์นนี่ถูกไบรอันฆ่าเขาและดอมพบกันที่ไฟแดงพร้อมที่จะแข่ง

     เมื่อไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว Dom จะแสดงวงล้อซึ่งแสดงพลังดิบของ R / T ไบรอันต้องใช้ไนตรัสออกไซด์ของเขาเพื่อให้ทันกับเครื่องชาร์จ พวกเขาเข้าใกล้รถไฟที่กำลังจะมาถึง แต่ทั้งคู่ขับผ่านสิ่งกีดขวางและพลาดชนรถไฟอย่างหวุดหวิด

     หลังจากลงจอดทั้งเขาและไบรอันต่างก็ยิ้มให้กันเมื่อการแข่งขันจบลง แต่ดอมชนท้ายรถบรรทุกกึ่งพ่วง สิ่งนี้ส่งเขาและเครื่องชาร์จไปในอากาศจากนั้นก็กลิ้งไปมาหลายต่อหลายครั้ง แม้ว่าดอมจะรอดชีวิตมาได้ด้วยอาการบาดเจ็บเล็กน้อย แต่เครื่องชาร์จก็ใช้งานไม่ได้ซึ่ง ณ จุดนั้นไบรอันส่งมอบ Supra ให้กับดอมทิ้งเครื่องชาร์จไว้บนท้องถนน

     Dodge Charger ได้รับแรงบันดาลใจจาก Hoonicorn Mustang เป็นเครื่องชาร์จ Dodge Charger แบบลำตัวกว้างในปี 1968 ซึ่งได้รับการดัดแปลงให้เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อสำหรับการขับขี่บนทะเลสาบน้ำแข็ง มีต้นกำเนิดมาจากภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่อง The Fate of the Furious ปี 2017 ในฐานะรถของ Dominic Toretto ในรัสเซียซึ่งมีการแสดงโดยใช้กังหันไอพ่นที่ติดตั้งอยู่ที่ด้านหลังซึ่งไม่สามารถใช้งานได้และเป็นลักษณะเฉพาะในรูปลักษณ์ของเกมเท่านั้น 

     เนื่องจากฐานเดิมเป็นรถขับหลัง Dodge Charger จึงมีเครื่องยนต์ผลักเข้าไปใกล้ไฟร์วอลล์ซึ่งทำให้มีที่ว่างสำหรับส่วนต่างด้านหน้าและอนุญาตให้มีการกระจายน้ำหนัก 50% / 50% ในเวลาเดียวกัน ใช้ยางขนาด 385 มม. ที่ให้การยึดเกาะบนน้ำแข็งได้ดีที่สุด ตรงกันข้ามกับคำอธิบายใน forzamotorsport.net Ice Charger ใน Forza Motorsport 7 ใช้พลังงานจากเครื่องยนต์ V8 ขนาด 6.2 ลิตรจาก Dodge Challenger SRT Hellcat ที่มี 707 แรงม้า (527 กิโลวัตต์) และ 650 ฟุต·ปอนด์ (881 N · m) ของ แรงบิด

Categories
ARTICLE รุ่นรถ

รู้จักกับ Dodge Viper

Dodge Viper
Dodge Viper
Dodge Viper

Dodge Viper เป็นรถสปอร์ตที่ผลิตโดย Dodge (SRT สำหรับปี 2013 และ 2014) ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกัน FCA US LLC ตั้งแต่ปี 1992 ถึงปี 2017 โดยได้หยุดพักช่วงสั้น ๆ ในปี 2007 และ 2010 ถึง 2012 การผลิตของ รถซูเปอร์คาร์สองที่นั่งเริ่มต้นที่ New Mack Assembly Plant ในปี 1991 และย้ายไปที่ Conner Avenue Assembly Plant ในเดือนตุลาคม 1995

 

แม้ว่าไครสเลอร์จะพิจารณายุติการผลิตเนื่องจากปัญหาทางการเงินที่ร้ายแรง ในวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553 เซอร์จิโอมาร์คิออนผู้บริหารระดับสูงในขณะนั้นได้ประกาศ ในปี 2014 Dodge Viper ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นอันดับที่ 10 ในรายการ “Most American Cars” ซึ่งหมายความว่าชิ้นส่วน 75% หรือมากกว่านั้นผลิตในสหรัฐอเมริกา ในที่สุด Dodge Viper ก็ถูกยกเลิกในปี 2017 หลังจากที่ผลิตมาเพียงยี่สิบกว่าปี แม้จะไม่มีผู้สืบทอดโดยตรง แต่ Maserati MC20 ก็ถือได้ว่ามาแทนที่ Viper ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ FCA ในกลุ่มซูเปอร์คาร์ระดับเริ่มต้น

 

Dodge Viper ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปลายปี 1988 ที่ Advanced Design Studios ของ Chrysler ในเดือนกุมภาพันธ์ต่อมา Bob Lutz ประธานของ Chrysler ได้แนะนำ Tom Gale ที่ Chrysler Design Center ว่า บริษัท ควรพิจารณาผลิต Cobra ที่ทันสมัยและมีการนำเสนอแบบจำลองดินเหนียวแก่ Lutz ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา ผลิตด้วยโลหะแผ่นโดย Metalcrafters รถคันนี้ปรากฏเป็นแนวคิดในงาน North American International Auto Show ในปี 1989 ปฏิกิริยาของสาธารณชนมีความกระตือรือร้นมากจนหัวหน้าวิศวกร Roy Sjoberg ได้รับคำสั่งให้พัฒนาเป็นรถมาตรฐานการผลิต แต่แล้วประธานของ Chrysler Lee Iacocca ก็ชะลอการอนุมัติเงิน 70 ล้านดอลลาร์ที่จำเป็นในการผลิตรถสปอร์ตโดยบอกว่าต้องใช้จ่ายจำนวนมากโดยไม่รับประกันผลตอบแทนทางการเงิน 

 

Sjoberg เลือกวิศวกร 85 คนให้เป็น “Team Viper” โดยเริ่มการพัฒนาในเดือนมีนาคม 1989 ทีมงานได้ขอให้ Lamborghini ซึ่งเป็น บริษัท ย่อยของ Chrysler สร้างบล็อกอะลูมิเนียมต้นแบบสำหรับรถสปอร์ตเพื่อใช้ในเดือนพฤษภาคม ตัวถังผลิตเสร็จสมบูรณ์ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1989 โดยมีต้นแบบแชสซีที่ทำงานในเดือนธันวาคม แม้ว่าเครื่องยนต์ V8 จะถูกใช้เป็นครั้งแรกในการทดสอบ แต่เครื่องยนต์ V10 ซึ่งเป็นรถที่ใช้ในการผลิตก็พร้อมใช้งานในเดือนกุมภาพันธ์ 1990 การอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก Iacocca มีขึ้นในเดือนพฤษภาคม 1990 ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมรถยนต์ 70 ล้านเหรียญนั้นไม่มาก ถึงเงิน แต่ศักยภาพในภาพที่ดีขึ้นนั้นยอดเยี่ยมมาก หนึ่งปีต่อมา Carroll Shelby ได้ขับรถรุ่นก่อนการผลิตเป็นรถแข่งในการแข่งขัน Indianapolis 500 ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2534 รถคันนี้ได้รับการเผยแพร่สู่ผู้ตรวจสอบโดยมีการจัดส่งขายปลีกครั้งแรกในเดือนมกราคม พ.ศ. 2535

 

รถสองที่นั่งทรงพลังซึ่งขายได้ในราคาประมาณ 50,000 ดอลลาร์กระตุ้นความสนใจในแบรนด์ Dodge Viper ในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบและสื่อมวลชนด้านยานยนต์ ลุทซ์หวังว่ามันจะปลุกจิตวิญญาณของนักออกแบบและวิศวกรที่ท้อแท้กับรถยนต์ที่เรียบง่ายและไม่เป็นที่นิยมซึ่งพวกเขาได้รับคำสั่งให้ผลิต  ความนิยมของ Viper บดบังความล้มเหลวของรถสัตว์เลี้ยงของ Iacocca เมื่อไม่นานมานี้ TC ซึ่งมีราคาสูงถึงห้าเท่าในการผลิต

Categories
ARTICLE รุ่นรถ

รู้จักกับ Audi RS6

Audi RS6

Audi RS6 เป็นรุ่นสมรรถนะสูงของ Audi A6 ที่ผลิตโดย Audi Sport GmbH ซึ่งเป็น บริษัท ย่อยที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับ Audi AG ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของ Volkswagen Group RS 6 รุ่นแรกและรุ่นที่สองถูกนำเสนอทั้งในรูปแบบ Avant และแบบซาลูน รุ่นที่สามและสี่ถูกเสนอให้เป็น Avant เท่านั้น

 

ชื่อย่อ “RS” นำมาจากภาษาเยอรมัน: RennSport  แปลตามตัวอักษรว่า “racing sport” และเป็นระดับการตัดแต่งที่มีประสิทธิภาพสูง ระดับบนสุดของ Audi ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนเหนือระดับข้อมูลจำเพาะรุ่น “S” ของ Audi กลุ่มผลิตภัณฑ์รุ่นปกติ เช่นเดียวกับ Audi “RS” ทุกรุ่น Audi RS6 เป็นผู้บุกเบิกด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดและทันสมัยที่สุดของ Audi และสามารถอธิบายได้ว่าเป็นรถรัศมีโดย RS 6 Performance ล่าสุดมีเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ทรงพลังที่สุดเท่ากันทั้งหมด Audi รุ่นที่มีแรงม้าและแรงบิดเท่ากันกับ Audi S8 Plus ที่มีขนาดใหญ่กว่า อย่างไรก็ตามไม่เหมือนกับ A6 และ S6 เครื่องยนต์ของ RS 6 ในการทำซ้ำ C5 และ C6 ยังไม่ได้รับการแบ่งปันกับรถคันอื่นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ Audi อย่างไรก็ตามสำหรับรุ่น C7 Audi RS 6 มีเครื่องยนต์ V8 ไบ – เทอร์โบ 4.0 ลิตรเช่นเดียวกับ Audi RS 7 โดยทั้งคู่อยู่ในตำแหน่งบนสุดของกลุ่ม Audi S และ RS และเครื่องยนต์รุ่นเดียวกันที่แยกออกจากกันคือ พบใน Audi S8, Audi A8 และ Audi RS6

 

บนพื้นฐานของแพลตฟอร์ม A6 เครื่องยนต์ของ Audi RS6 จะติดตั้งด้านหน้าและวางแนวยาวในขณะที่ระบบส่งกำลังจะติดตั้งทันทีที่ด้านหลังของเครื่องยนต์ในแนวยาวในรูปแบบของทรานแซกเซิล เช่นเดียวกับรุ่น S และ RS ทั้งหมด RS 6 จะมีให้เฉพาะกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบถาวรแบบ quattro ที่ใช้ เครื่องหมายการค้าของ Audi เท่านั้น

 

C5 Audi RS6 เป็นรุ่นที่สี่ที่มาจาก บริษัท ในเครือส่วนตัวของ Audi “quattro GmbH” คันแรกคือ Audi RS 2 Avant จากการร่วมทุนระหว่าง Porsche และ Quattro GmbH สำหรับ Audi marque อย่างที่สองคือ Audi C4 S6 Plus ซึ่งผลิตตั้งแต่เดือนเมษายน 2539 ถึงเดือนกรกฎาคมปี 1997 คันที่สามคือ Audi B5 RS 4 ปี 2000 คันที่ห้าคือรถเก๋ง Audi B7 A4 DTM Edition ปี 2005 และคันที่ 6 คือ Audi B7 RS 4 ปี 2006 รุ่นที่ 7 และรุ่นปัจจุบัน (ณ เดือนมกราคม 2010) รุ่น Quattro GmbH คือ Audi C6 RS 6 รุ่นล่าสุด

 

การผลิต Audi C5 RS 6 ดั้งเดิมเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน 2002 และสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2004 Audi C6 RS 6 คันที่สองได้รับการแนะนำในงาน Frankfurt Motor Show 2007 RS 6 ดั้งเดิมเป็นรุ่นแรกของ Audi RS ที่ส่งออกไปยังอเมริกาเหนือในขณะที่ C6 และ C7 RS 6 จำหน่ายเฉพาะในยุโรปเท่านั้น และตัว RS 6 นี้ยังได้รับความนิยมมากอีกด้วย